วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประวัติส่วนตัว


 ชื่่อ  ด.ญ.กาญจนา  จอมเกตุ

รายระเอียด
  
เกิดวันพฤหัสบดีที่  13  เมษายน  พ.ศ. 2543

เกิดโรงพยาบาลราชบุรี

ที่อยู่

บ้านเลขที่ 87/8 ต.ดอนทราย อ. ปากท่อ  จ.ราชบุรี

ชอบ  ทำอาหาร  ชอบเที่ยวเหนือ

ไม่ชอบ ออกกำลังกาย

นิสัย  อารมณ์ดีบางครั้ง    ร่าเริง  ใจร้อน   ไม่ค่อยฟังใคร  ปากไว

มีความสนใจด้านไหน  ด้านคิดวิเคราะห์

ความสามารถพิเศษ  เก่งด้านไหน   ด้านความจำ  การคิดวิเคราะห์  (สังคม)

อาชีพที่สนใจ   นักสังคมสงเคราะห์

เหตุผลเพราะ  อยากลงพื้นที่ช่วยเหลื่อเด็กด้อยโอกาสและปัญหาความยากจนของชาวบ้าน

อย่ากให้ชาวบ้านที่อยู่ห่างใกล้ความเจรฺิญมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น

       

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สรุป HTML

HTML
HTML คืออะไร
     HTML ย่อมาจาก Hyper Text Markup Language คือภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแสดงผลของเอกสารบน website หรือที่เราเรียกกันว่าเว็บเพจ ถูกพัฒนาและกำหนดมาตรฐานโดยองค์กร World Wide Web Consortium (W3C) และจากการพัฒนาทางด้าน Software ของ Microsoft ทำให้ภาษา HTML เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ใช้เขียนโปรแกรมได้ หรือที่เรียกว่า HTML Application
       HTML
 เป็นภาษาประเภท Markup   สำหรับการการสร้างเว็บเพจ โดยใช้ภาษา HTML สามารถทำโดยใช้โปรแกรม Text Editor ต่างๆ เช่น Notepad, Editplus หรือจะอาศัยโปรแกรมที่เป็นเครื่องมือช่วยสร้างเว็บเพจ เช่น Microsoft FrontPage, Dream Weaver ซึ่งอํานวยความสะดวกในการสร้างหน้า HTML ส่วนการเรียกใช้งานหรือทดสอบการทำงานของเอกสาร HTML จะใช้โปรแกรม web browser เช่น IE Microsoft Internet Explorer  (IE), Mozilla Firefox, Safari, Opera, และ Netscape Navigator เป็นต้น
เอชทีเอ็มแอลเริ่มพัฒนาโดย ทิม เบอร์เนอรส์ ลี (Tim Berners Lee) สำหรับภาษา SGML ในปัจจุบัน HTML เป็นมาตรฐานหนึ่งของ ISO ซึ่งจัดการโดย World Wide Web Consortium (W3C) ในปัจจุบัน ทาง W3C ผลักดัน รูปแบบของ HTML แบบใหม่ ที่เรียกว่า XHTML ซึ่งเป็นลักษณะของโครงสร้าง XML แบบหนึ่งที่มีหลักเกณฑ์ในการกำหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่มีรูปแบบที่มาตรฐานกว่า มาทดแทนใช้ HTML รุ่น 4.01 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน [1] ขณะที่ HTML รุ่น 5 ยังคงยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา โดยได้มีการออกดราฟต์มาเสนอเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 [2]

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุปภาษาC


ภาษาC
ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม

ภาษา C
                ภาษาซี เป็นการเขียนโปรแกรมพื้นฐาน สามารถประยุกต์ใช้กับงานต่างๆได้มากมาย ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ทางคณิตศาสตร์ โปรแกรมทางไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโครคอนโทรลเลอร์ เช่น โปรแกรม MATLAB (The MathWorks - MATLAB and Simulink for Technical Computing) ซึ่งเวลาใช้สามารถพิมพ์ชุดคำสั่งภาษาซีเพิ่มเข้าไปในโปรแกรมคำนวณทางคณิตศาสตร์ ประมวลผลทางสัญญาณไฟฟ้า ทางไฟฟ้าสื่อสารก็ได้ ทำให้ประสิทธิภาพของงานที่ทำดียิ่งขึ้นครับ และยังมีโปรแกรมอื่นๆ ที่มีภาษาซีประยุกต์ใช้กันอีกมากมาย ไม่สามารถนำมากล่าวได้หมด ถึงแม้ว่าภาษาซีอาจจะดูเก่าไปสำหรับคนอื่น แต่ผมว่าควรศึกษาภาษาซีที่เป็นรากฐานของภาษาอื่นๆเสียก่อน เพราะภาษาC++ จาวา (Java) ฯลฯ และ ระบบลีนุกซ์ เป็นระบบที่ถูกพัฒนามาจากระบบยูนิกซ์ซึ่งก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ภาษาคู่บารมีของระบบปฏิบัติการตระกูลยูนิกซ์มีการพัฒนามาจากภาษาซีเช่นกัน
                ภาษาซีเป็นภาษาที่บางคนเรียกว่าภาษาระดับกลาง คือไม่เป็นภาษาระดับต่ำแบบแอสเซมบลีหรือเป็นภาษาสูงแบบ เบสิค โคบอล ฟอร์แทรน หรือ ปาสคาล เนื่องจากคุณสามารถจะจัดการเกี่ยวกับเรื่องของพอยน์เตอร์ได้อย่างอิสระ และบางทีคุณก็สามารถควบคุมฮาร์ดแวร์ผ่านทาง ภาษาซี ได้ราวกับคุณเขียนมันด้วยภาษาแอสเซมบลี ด้วยข้อดีเหล่านี้เองทำให้โปรแกรมที่ถูกเขียนด้วยภาษาซีมีความเร็วในการปฏิบัติงานสูงกว่าภาษาทั่วๆไป แต่ก็ต้องแลกกับการเรียนรู้และการฝึกฝนอย่างหนัก
ประวัติภาษาซี
                ภาษาซีเป็นภาษาที่ถือว่าเป็นทั้งภาษาระดับสูงและระดับต่ำ ถูกพัฒนาโดยเดนนิส ริดชี (Dennis Ritche) แห่งห้องทดลองเบลล์ (Bell Laboratories) ที่เมอร์รีฮิล มลรัฐนิวเจอร์ซี่ โดยเดนนิสได้ใช้หลักการของภาษา บีซีพีแอล (BCPL : Basic Combine Programming Language) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยเคน ทอมสัน (Ken Tomson) การออกแบบและพัฒนาภาษาซีของเดนนิส ริดชี มีจุดมุ่งหมายให้เป็นภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมปฏิบัติการระบบยูนิกซ์ และได้ตั้งชื่อว่า ซี (C) เพราะเห็นว่า ซี (C) เป็นตัวอักษรต่อจากบี (B) ของภาษา BCPL ภาษาซีถือว่าเป็นภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำ ทั้งนี้เพราะ ภาษาซีมีวิธีใช้ข้อมูลและมีโครงสร้างการควบคุมการทำงานของโปรแกรมเป็นอย่างเดียวกับภาษาของโปรแกรมระดับสูงอื่นๆ จึงถือว่าเป็นภาษาระดับสูง ในด้านที่ถือว่าภาษาซีเป็นภาษาระดับต่ำ เพราะภาษาซีมีวิธีการเข้าถึงในระดับต่ำที่สุดของฮาร์ดแวร์ ความสามารถทั้งสองด้านของภาษานี้เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ความสามารถระดับต่ำทำให้ภาษาซีสามารถใช้เฉพาะเครื่องได้ และความสามารถระดับสูง ทำให้ภาษาซีเป็นอิสระจากฮาร์ดแวร์ ภาษาซีสามารถสร้างรหัสภาษาเครื่องซึ่งตรงกับชนิดของข้อมูลนั้นได้เอง ทำให้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาซีที่เขียนบนเครื่องหนึ่ง สามารถนำไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่งได้ ประกอบกับการใช้พอยน์เตอร์ในภาษาซี นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นอิสระจากฮาร์ดแวร์
วิวัฒนาการของภาษาซี
ค.ศ. 1970 มีการพัฒนาภาษา โดย Ken Thompson ซึ่งทำงานบนเครื่อง DEC PDP-7 ซึ่ง ทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไม่ได้ และยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่ (ภาษา สืบทอดมาจาก ภาษา BCPL ซึ่งเขียนโดย Marth Richards)
ค.ศ. 1972 Dennis M. Ritchie และ Ken Thompson ได้สร้างภาษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภาษา ให้ดียิ่งขึ้น ในระยะแรกภาษา ไม่เป็นที่นิยมแก่นักโปรแกรมเมอร์โดยทั่วไปนัก
ค.ศ. 1978 Brian W. Kernighan และ Dennis M. Ritchie ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The C Programming Language และหนังสือเล่มนี้ทำให้บุคคลทั่วไปรู้จักและนิยมใช้ภาษา ในการเขียน โปรแกรมมากขึ้น
แต่เดิมภาษา ใช้ Run บนเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 bit ภายใต้ระบบปฏิบัติการ CP/M ของ IBM PC ซึ่งในช่วงปี ค. ศ. 1981 เป็นช่วงของการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภาษา จึงมี บทบาทสำคัญในการนำมาใช้บนเครื่อง PC ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมีการพัฒนาต่อมาอีกหลาย ๆ ค่าย ดังนั้นเพื่อกำหนดทิศทางการใช้ภาษา ให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน ANSI (American National Standard Institute) ได้กำหนดข้อตกลงที่เรียกว่า 3J11 เพื่อสร้างภาษา มาตรฐานขึ้นมา เรียนว่า ANSI C
ค.ศ. 1983 Bjarne Stroustrup แห่งห้องปฏิบัติการเบล (Bell Laboratories) ได้พัฒนาภาษา C++ ขึ้นรายละเอียดและความสามารถของ C++ มีส่วนขยายเพิ่มจาก ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ แนวความคิดของการเขียนโปรแกรมแบบกำหนดวัตถุเป้าหมายหรือแบบ OOP (Object Oriented Programming) ซึ่งเป็นแนวการเขียนโปรแกรมที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมจำนวนมาก จึงนิยมใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้


วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุป Flowchart

Flowchart คืออะไร

Flowchart คืออะไร
flowchart เป็นแผนผังประเภทหนึ่งที่แสดงกระบวนการหรือ algorithm ที่จะแสดงเป็นขั้นเป็นตอน โดยเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการหรือแสดงเส้นทางการไหลโดยเส้นและลูกศร นิยมใช้กันตั้งแต่ปี 1960 โดยใช้เป็นแผนที่ logic ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้ในการพัฒนางาน ใช้แสดงกระบวนการทำงานในปัจจุบันเพื่อหาจุดบกพร่องของงาน

เมื่อไหร่จึงจะใช้ Flowchart
ควรใช้เมื่อมีความต้องการในการพัฒนากระบวนการใดๆ ในปัจจุบัน(as-is) ซึ่ง flowchart จะช่วยให้ทีมงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากระบวนการเข้าใจถึงกระบวนการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถนำไปเปรียบเทียบกับกระบวนการในอนาคต(to be) เพื่อพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ใช้เมื่อต้องการวิเคราะห์หรือกำหนดกระบวนการ ทั้งรายละเอียดของ action และการตัดสินใจ
- ใช้เมื่อต้องการหาปัญหาได้อย่างตรงจุดในกระบวนการ
- ใช้เมื่อประเมินศักยภาพหรือประสิทธิภาพของกระบวนการ เพื่อช่วยระบุว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
- ใช้เมื่อต้องการสื่อสารหรือฝึกอบรมเบื้องต้น เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกันในรายละเอียดของกระบวนการ

ประโยชน์ของการใช้ Flowchart
- ทำให้ทุกคนเข้าใจกระบวนการที่ถูกจัดทำเป็นลำดับภาพ(ให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน) : โดยทั่วไปแต่ละคนอาจมีแนวความคิดที่แตกต่างกันไปเกี่ยวการกระบวนการทำงาน flowchart จึงสามารถช่วยให้เข้าใจตรงกันในขั้นตอนหรือลำดับของกระบวนการ และยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของผู้เขียนกระบวนการที่เขียนขึ้นมาว่าถูกต้องกับสิ่งที่เป็นจริงหรือไม่
- เป็นเครื่องมือสำหรับฝึกอบรมพนักงาน : เป็นเครื่องมือช่วยในการฝึกอบรมพนักงานใหม่หรือเก่าในการทำงานให้ได้ตามมาตรฐานกระบวนการที่ได้มีการกำหนดไว้
- ทำให้ทราบปัญหาและโอกาสในการพัฒนากระบวนการ : ถ้ามองลึกลงไปในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการและภาพ diagram จะเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโอกาสในวิเคราะห์ปัญหาในกระบวนการได้ตรงจุด ทราบถึงขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และงานที่วนไปวนมาไม่มีประสิทธิภาพ

สัญลักษณ์ที่ใช้ใน Flowchart
รูปไข่ (Oval) : ใช้แสดงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกระบวนการ
กล่อง (Box) : แสดงถึงขั้นตอนหรือกิจกรรมในแต่ละกระบวน
เพชร (Diamond) : แสดงจุดที่ต้องตัดสินใจ เช่น ใช่/ไม่ใช่ หรือ ไป/ไม่ไป โดยในแต่ละทางเลือกจะต้องมีทางใดทางหนึ่งที่เป็นคำตอบเสมอ
วงกลม (Circle) : แสดงการเชื่อมต่อภายในหน้าเดียวกัน โดยจะมีตัวเลขในวงกลมแสดงว่าจุดใดที่มีการเชื่อมต่อกัน
รูปห้าเหลี่ยม (Pentagon) : แสดงถึงจุดเชื่อมต่อไปยังหน้าอื่นๆ โดยจะมีตัวหนังสือเขียนกำกับว่าเชื่อมต่อกับหน้าใด
เส้นการไหล : แสดงทิศทางการไหลของกระบวนการ

ระดับในการเขียนรายละเอียดของ Flowchart
     เมื่อต้องการพัฒนาอะไรบางอย่างโดยใช้ flowchart สิ่งที่ควรพิจารณาคือใครจะเป็นผู้นำข้อมูลที่เราเขียนไปใช้งาน และต้องการใช้งานข้อมูลมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้เราทราบถึงระดับของรายละเอียดการเขียน flowchart ได้
Macro Level : ระดับนี้เป็นระดับที่ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากในระดับการทำงานของกระบวนการ แต่จะเขียนเป็นภาพกว้างๆ เพียงพอสำหรับจุดประสงค์การนำ flowchart ไปใช้งาน โดยทั่วไปแล้วระดับ macro level นี้จะเขียนไม่เกิน 6 ขั้นตอน ตัวอย่างเช่น เราอยู่บนเครื่องบินที่ระดับ 30,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล แล้วมองลงมาเห็นทะเล พื้นดิน ภูเขา
Mini Level : เป็นระดับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภาพกว้างๆ macro level กับ micro level ซึ่งโดยปกติแล้วจะเจาะลงไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของ flowchart ระดับ macro level ตัวอย่างเช่น เราอยู่บนเครื่องบินที่ระดับ 10,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล แล้วมองเห็นบนพื้นดินมีเมืองหลายๆ เมือง หรือมีภูเขาหลายๆ ลูก ฯลฯ
Micro Level : เป็นมุมมองระดับพื้นดินที่เห็นรายละเอียดได้ครบทุกส่วน โดยจะบันทึกทุกข้อมูล ทุกกิจกรรมหรือทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจ ซึ่งรูปแบบนี้จะใช้เพื่อเป็นตัวบอกวิธีการทำงานอย่างละเอียด เช่น เราอยู่บนเครื่องบินระดับที่สามารถมองเห็นได้ทุกๆ รายละเอียดของเมือง เห็นทุกบ้าน และเห็นไปถึงภายในบ้าน

วิธีการเขียน Flowchart
- ระบุผู้ที่เป็นคนเขียน flowchart ให้ถูกต้อง
- พิจารณาว่าอะไรที่คาดหวังว่าจะได้จาก flowchart
- ระบุว่าใครที่จะใช้ flowchart
- กำหนดระดับในการเขียน flowchart ที่ต้องการ
- กำหนดขอบเขตของกระบวนการหรือการเขียน flowchart

สิ่งสำคัญที่จะทำให้การเขียน Flowchart ประสบความสำเร็จ
- เริ่มต้นด้วยภาพกว้างๆ ก่อน : เขียน flowchart ในระดับ macro level ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจะสามารถเขียนในระดับที่ลึกลงไปในแต่ละส่วนได้
- เข้าไปสังเกตการณ์ในกระบวนการ : ทางที่จะทำให้การเขียน flowchart ประสบความสำเร็จได้ต้องเข้าไปเห็นกระบวนการทำงานจริง จึงจะเห็นภาพการทำงานที่เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน
- บันทึกขั้นตอนของกระบวนการจากการเข้าไปสังเกตการณ์ : บันทึกขั้นตอนที่เกิดขึ้น เขียนขั้นตอนบนบัตรบันทึก(Post-it) จัดเรียงลำดับไว้ โดยใช้สีที่แตกต่างกันเพื่อแสดงกลุ่มการทำงาน ซึ่งจะทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานได้มากขึ้น
- จัดเรียงลับดับเป็นขั้นเป็นตอน : จัดเรียงบัตรบันทึก(Post-it) ที่บันทึกไว้จากการเข้าไปสังเกตการณ์ วางให้ครบตามจริงที่บันทึกมา
- เขียน flowchart : เขียนจากข้อมูลต่างๆ ที่ได้ไปสังเกตการณ์ การบันทึก และจัดเรียงลับดับขั้นตอน

การเขียน flowchart เพิ่อปรับปรุงกระบวนการทำงานแนวใหม่
กระบวนการทำงานสมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วจะถูกกำหนดโดยผู้ปฏิบัติงานหรือเจ้าของบริษัท แต่ในปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภค ความหลากหลายของพฤติกรรม รวมถึงการแข่งขันมีมากขึ้น ทำให้กระบวนการทำงานขององค์กรต่างๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้บริโภคหรือลูกค้า เช่น สมัยก่อนลูกค้าไม่ได้ต้องการความรวดเร็วในการบริการมากนัก แต่ในปัจจุบันที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปลูกค้ารุ่นใหม่เกิดมาพร้อมความรวดเร็วของเทคโนโลยี และหากองค์กรยังไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการให้รวดเร็วทันต่อความต้องการของลูกค้า จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันในธุรกิจยุคใหม่ได้  เช่น ลูกค้าต้องการความรวดเร็ว องค์กรก็ต้อเปลี่ยนกระบวนการให้เร็วขึ้น หรือลดกระบวนการใดที่ไม่จำเป็นลง ดังนั้นการเขียน flowchart เพื่อปรับปรุงกระบวนการยุคใหม่นี้ จำเป็นจะต้องเขียน flowchart ในมุมของลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก จึงจะเขียน flowchart ขององค์กรให้ตรงตาม flowchart ที่ลูกค้าต้องการ
ผังงาน (Flowchart)
การเขียนผังงาน
1. ความหมายของผังงาน
ผังงาน (Flowchart) คือ แผนภาพแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผนขั้นแรกมาหลายปี โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการเขียนผังงาน เพื่อช่วยลำดับแนวความคิดในการเขียนโปรแกรม เป็นวิธีที่นิยมใช้เพราะทำให้เห็นภาพในการทำงานของโปรแกรมง่ายกว่าใช้ข้อความ หากมีข้อผิดพลาด สามารถดูจากผังงานจะทำให้การแก้ไขหรือปรับปรุงโปรแกรมทำได้ง่ายขึ้น

3. สัญลักษณ์ในการเขียนผังงาน
เป็นสัญลักษณ์ตามมาตรฐานของ ANSI (the ANSI flowchart symbols)

ยังมีสัญลักษณ์ของผังงานอีกหลายแบบที่ช่วยในการเขียนโปรแกรมให้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่าย
4 การจัดลำดับผังงาน
การเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้าง (Structured Programming) ช่วยให้การลำดับขั้นตอนการเขียนคำสั่งการทำงานถูกต้อง ไม่สับสน รูปแบบของผังงานเพื่อใช้ในการเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้างมี 4 แบบ คือ
       4.1 แบบตามลำดับ (Sequence structure)
       รูปแบบคือ การทำงานแต่ละคำสั่งจากคำสั่งหนึ่งไปยังอีกคำสั่งหนึ่งตามลำดับ
4.2 แบบทางเลือก (Selection structure)
     รูปแบบคือ เลือกทำตามคำสั่งตามเงื่อนไขที่กำหนด มี 2 แบบ คือ
          1) IF <เงื่อนไข> THEN <ทำคำสั่ง>
          2) If <เงื่อนไข> THEN <ทำคำสั่งที่ 1> ELSE <ทำคำสั่งที่ 2>
     รูปแบบ 1) IF <เงื่อนไข> THEN <ทำคำสั่ง>
รูปแบบ 2) IF <เงื่อนไข> THEN <ทำคำสั่งที่ 1> ELSE <ทำคำสั่งที่ 2>
4.3 แบบวนรอบ (Loop structure)
    รูปแบบ การทำคำสั่งเดิมซ้ำการหลายรอบตามเงื่อนไขที่กำหนด มี 2 แบบคือ
    1) แบบ DOWHILE หมายถึง ทำคำสั่งซ้ำ ๆ กันในขณะที่เงื่อนไขเป็นจริง
    2) แบบ DOUNTIL หมายถึง ทำคำสั่งซ้ำ ๆ กันจนกระทั่งเงื่อนไขเป็นจริง 

1) แบบ DOWHILE เป็นการทำงานซ้ำ ๆ กันภายใต้เงื่อนไขที่เป็นจริง จนกว่าเงื่อนไขจะเป็นเท็จ จึงจะหยุดทำงาน และออกไปทำคำสั่งต่อไป
2) แบบ DOUNTIL เป็นการทำงานซ้ำ ๆ กันภายใต้เงื่อนไขที่เป็นเท็จ จนกว่าเงื่อนไขที่กำหนดไว้จะเป็นจริง จึงจะหยุดและออกไปทำคำสั่งอื่นต่อไป



วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุปผังงาน
1.ผังงานคือแผนลำดับขั้นตอนการทำงานเป็นเครื่องมือที่ใช้การ  ขั้นแรกมาหลายปีโดยใช้สัญลักษณ์ต่างต่างในการเขียนผังงาน  เพื่อช่วยในการลำดับความคิดในการเขียนโปรแกรม  เป็นวิธีที่นิยมใช้เพราะทำให้เห็นภาพในการทำงานของโปรแกรมง่ายกว่าใช้ข้อความ  หากมีข้อผิดพลาดสามารถดูผังงานและทำให้การแก้ไขหรือปรับปรุงมากขึ้น
2. สัญลักษณ์  ใช้อะไรบ้าง

  

3. รูปแบบของผังงานมีอะไรบ้าง

3.1  เรียงลำดับ
3.2 รูปแบบที่มีการกำหนดเงื่อนไข
3.3 รูปแบบที่มีการทำงานวนรอบ






วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

การบ้าน วันที่21 สิงหาคม 2556

ซิมเบียน (อังกฤษ: Symbian) คือ ระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 
พัฒนาโดยบริษัท Symbian Ltd. โดยออกแบบสำหรับทำงานเฉพาะหน่วยประมวลผล ARM
ปัจจุบันมีบริษัทที่ถือหุ้นส่วนอยู่ได้แก่ อีริกสัน (15.6%) โนเกีย (47.9%) พานาโซนิก (10.5%) 
ซัมซุง (4.5%) ซิเมนส์ (8.4%) และ โซนี อีริกสัน (13.1%) โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ 
ซิมเบียนเริ่มใช้งานเมื่อในเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. 2541 ปัจจุบัน

แอนดรอยด์ (อังกฤษ: android) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา
เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ก ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล
เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ (อังกฤษ: Android Inc.) จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิล 
และนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ภายหลังถูกพัฒนาในนามของ Open Handset Alliance[2] 
ทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต่างๆ ด้วยภาษาจาวา และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries 
ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น  แอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 
โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Alliance[3] กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง 
ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา มาตรฐานเปิด สำหรับอุปกรณ์มือถือ ลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรี
โทรศัพท์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้คือ HTC Dream ออกจำหน่ายเมื่อ 22 ตุลาคม 2551[4]
ความสามารถใหม่ของ แอนดรอยด์ 2.3 ที่เพิ่มขึ้นมาคือ Near field communication
ระบบปฏิบัติการ Palm OS เป็นระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์มือถือยุคแรกๆ เมื่อ 8-9 ปีที่ผ่านมา โดยหลักๆ จะมีคุณสมบัติเทียบเคียงกับคอมพิวเตอร์พกพา สามารถทำอะไรๆ ได้หลายๆ อย่างคล้ายกับคอมพิวเตอร์ แต่ข้อเสียก็คือนักพัฒนา (Developer) มักจะไม่ค่อยสนใจพัฒนาแอพพลิเคชั่นเสริมโดนๆ มาให้ใช้กันมากนัก Palm OS จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าใดในปัจจุบัน

ระบบปฏิบัติการซิมเบี้ยน (Symbian) ระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือยุคที่สองต่อจาก Palm OS สมัยโทรศัพท์มือถือค่ายโนเกียเฟื่องฟูในบ้านเรา หลายรุ่นของโนเกีย ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ใส่ลงไปในมือถือ ความสามารถหลักๆ ก็คือ สามารถลงแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมได้ รองรับการใช้งานพื้นฐานเช่น SMS MMS Calendar Task และ Note เป็นต้น ที่สำคัญถือเป็นการเปิดศักราชการใช้อินเตอร์เน็ตผ่านมือถือกันเลยทีเดียว

ระบบปฏิบัติการ Windows Mobile เมื่อตลาดสมาร์ทโฟนรุ่งเรือง ค่าย Microsoft ก็กระโดดเข้าร่วมสนามแข่งขัน คิดค้นและพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows Mobile ขึ้นมามีความสามารถและประสิทธิภาพการใช้งานได้ไม่แตกต่างจากระบบปฏิบัติการซิมเบี้ยน แถมยังรองรับการใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Microsoft ได้อย่างมีประสิทธิภาพ…แต่ไม่นานก็แป้ก เพราะนักพัฒนาไม่ให้ความสนใจพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่รองรับระบบปฏิบัติการนี้เสียเท่าใดนัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งระบบปฏิบัติการที่น่าจับตามองต่อไปว่าไมโครซอฟต์จะปล่อยของอะไรดีๆ ออกมาให้เราได้ใช้งานกันอีก

ระบบปฏิบัติการ Blackberry หลายคนคงคุ้นชินและสนิทสนมกับระบบปฏิบัติการ Blackberry เป็นอย่างดี โดยระบบปฏิบัติการนี้เป็นระบบปฏิบัติการที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Research in Motion หรือ RIM ความสามารถหลักๆ คือรองรับการใช้งานองค์กร ในการรับส่งอีเมล์ในเชิงธุรกิจที่เน้นความปลอดภัยเป็นอย่างสูง แต่ระบบปฏิบัติการนี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะกับเครื่องสมาร์ทโฟนค่าย Blackberry เท่านั้น แถมคุณสมบัติโดดเด่นก็เห็นจะเป็น Blackberry Messenger หรือ BBM ที่สาวดีว่าใช้แชทเม้าท์มอยกับเพื่อนสาว กุ๊กกิ๊กออดอ้อนหวานใจกันนั่นแหละ

ระบบปฏิบัติการ iOS ค่ายแอปส่ง “ไอโฟน” รุ่นแรกออกวางจำหน่ายเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ระบบปฏิบัติการ iOS ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก และเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม ปัจจุบันมีผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS กว่า 50 ล้านคนทั่วโลก โดยคุณสมบัติโดดเด่น หลักที่เห็นได้ง่ายก็คือ เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Single OS ที่ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอพอดทัช ไอแพด รุ่นไหนๆ ก็สามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการมาใช้ได้เหมือนกันหมด แถมโดดเด่นด้วยแอพพลิเคชั่นเสริมมากมายมีให้เลือกดาวน์โหลดกันเป็นแสนเป็นล้านแอพฯ ครบครันทุกความต้องการการใช้งาน แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ระบบปฏิบัติการนี้ไม่สามารถที่จะเสริมเติมแต่งอะไรเข้าไปเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่แอปเปิ้ลเค้าจัดสรรมาให้เท่านั้น

ระบบปฏิบัติการ Android สุดท้ายระบบปฏิบัติการน้องใหม่มาแรงประกบคู่ท้าชิงตำแหน่งราชินีกับ iOS อย่างสูสีอย่างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จากค่าย Google ที่เปิดให้เป็นฟรีแวร์ จึงทำให้ค่ายผู้ผลิตมือถือต่างๆ สนใจนำระบบปฏิบัติการนี้ไปใส่ลงใน มือถือของตนเสียมากมายตั้งแต่ค่ายยักษ์ใหญ่ อย่าง Samsung, LG, HTC, Sony Ericsson, Motorola หรือแม้กระทั่งแบรนด์ไทยๆ อย่าง i-Mobile ค่ายบ้านเรา โดยคุณสมบัติหลักที่โดดเด่นก็เห็นจะด้วยความที่เป็นฟรีแวร์จึงทำให้ราคาค่างวดของโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์มีราคาไม่สูงมากนัก แถมได้สเปคการใช้งานที่ครบครัน และผู้ใช้สามารถเสริม เพิ่ม แต่ง ดัดแปลง รูปแบบการใช้งานได้ตามสไตล์ เช่น จะเปลี่ยน font เปลี่ยนรูปแบบหน้าจอ เปลี่ยนโน่น นี่ นั่น ได้หมด มีความเป็น Customized มากมาย เหมาะแก่ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างเสียจริงๆ แต่ข้อเสียก็มีอยู่บ้างตรงที่ แอนดรอยด์มิได้เป็น Single OS อย่างไอโฟน ที่ออกเวอร์ชั่นใหม่ก็มีเวอร์ชั่นเดียวกันทั่วโลก แต่แอนดรอยด์ก็มีเวอร์ชั่นเต็มไปหมดในท้องตลาด ไมว่าจะ 2.3, 2.4, 3.0, 4.0 บางครั้งบางคราวทำให้สาวดีว่าอย่างเรางวยงงสงสัยได้บ้าง




 

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การบ้าน 14 สิงหาคม 56

1. ซอฟต์แวร์ คืออะไร
ตอบ  ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่ง ที่จะสั่งและควบคุมให้ฮาร์ดแวร็คอมพิวเตอร์ทำงาน เราไม่สามารถจับต้อง ซอฟต์แวร์ ได้โดยตรงเหมือนกับตัวฮาร์ดแวร์ เพราะซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมนี้จะถูกจัดเก็บอยู่ในสื่อ ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล เช่น แผ่นดิสก์ ซอฟต์แวร์ ที่มักติดตั้งไว้ในฮาร์ดดิสก์เพื่อทำงานทันที่ที่เปิดเครื่องคือ ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ
2ซอฟต์แวร์ระบบคืออะไร  และ   มีอะไรบ้างยกตัวอย่างน้อย 5 ตัวอย่าง 
ตอบ  คือซอฟต์แวร์ที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ  หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบคือดำเนินงานพื้นฐานต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์  เช่น  รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ  นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์   จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง
            เมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์  ทันที่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์จะทำงานตามโปรแกรมทันที  โปรแกรมแรกที่สั่งคอมพิวเตอร์ทำงานนี้เป็นซอฟต์แวร์ระบบ  ซอฟต์แวร์ระบบอาจเก็บไว้ในรอม หรือในแผ่นจานแม่เหล็ก  หากไม่มีซอฟต์แวร์ระบบ  คอมพิวเตอร์จะทำงานไม่ได้
            ซอฟต์แวร์ระบบยังใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาซอฟต์แวร์อื่น ๆ และยังรวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาต่าง ๆ

1. Open Source  คืออะไร จงยกตัวอย่างประกอบอย่างน้อย 5 โปรแกรม
1.โปรแกรมบีบอัดข้อมูล (เว็บไซต์) [Open Source - LGPL]
ในขณะที่เราสนใจโปรแกรมใหญ่ๆ อย่าง OpenOffice.org มาทดแทนโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ เรากลับละเลยโปรแกรมเล็กๆ อย่าง WinRAR หรือ WinZIP ที่ก็ใช้เวอร์ชันแคร็กเหมือนกัน โปรแกรม 7-zip ใช้ทดแทนได้ทันที หน้าตาเหมือนเกือบเด๊ะ เปิดฟอร์แมตได้เกือบครบ (RAR, LZH, ARJ, GZIP, BZIP2 และอื่นๆ)
 2.โปรแกรมคุณประโยชน์, ชุดออฟฟิศ(เว็ปไซต์)[Open Source - GPL]
pdfCreator เป็นโปรแกรมสำหรับพิมพ์เอกสารใดๆ ออกเป็น pdf format ใช้ง่าย เมื่อติดตั้งแล้ว จะปรากฏเป็นเครื่องพิมพ์เสมือนตัวหนึ่ง เพียงแต่แทนที่จะได้เอกสารบนกระดาษ เราจะได้เป็น ไฟล์แทน
3.โปรแกรมเปิดและแปลงรูปภาพ (เว็บไซต์) [ Freeware for private non-commercial or educational use, including non-profit organization ]
XnView โปรแกรมเปิดและแปลงรูปภาพชนิดต่างๆมากถึง 360 รูปแบบ นอกจากนี้ยังสามารถใช้คุณสมบัติตกแต่งรูปภาพได้ด้วย
4.โปรแกรมสื่อผสม (เว็บไซต์) [Open Source -GPL]\
โปรแกรมเล่นไฟล์สื่อผสมที่ท่านชายหลายๆ ท่านคงมีติดเครื่องไว้ นอกเหนือาก codec ที่มีมาให้เยอะแยะมากมาย แล้วยังมีตัวเล่นไฟล์มาให้อีกต่างหาก เรียกได้ว่าลงโปรแกรมเดียวครบชุด แถมยังมีอีกหลาย platform มาก จึงเป็นโปรแกรมเล่นไฟล์สื่อผสมที่ดีมากตัวหนึ่ง
5.จาวา IDE, จาวา Platform (เว็บไซต์) [Open Source - CDDL]
NetBeans มีจุดเด่นที่คุณสมบัติ "แกะกล่องแล้วใช้ได้เลย" กล่าวคือ มีเครื่องมือพร้อมสำหรับการพัฒนาจาวาแอพลิเคชันทั่วไปได้ทันที หากผู้พัฒนาต้องการความสามารถพิเศษอย่างเช่น เครื่องมือ Profiling, เครื่องมือพัฒนาโปรแกรมบนมือถือ ฯลฯ ก็มีแพ็กเสริมโอเพนซอร์สให้เลือกลง นอกจากนี้ยังเล่นบทบาทเป็นแพล็ตฟอร์มที่ทรงพลังให้เราสามารถสร้างแอพลิเคชัน ต่อยอดได้อีกด้วย
แหล่งที่มา http://www.pawoot.com/node/153
2. CMS ย่อมาจากอะไร หมายถึงอะไร  ยกตัวอย่างประกอบ
3. โอเอสวินโด้ประวัติเป็นอยู่อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง
ตอบ
 แนะนำ รู้จักประวัติ MAC OS X กันสักนิด
05 เมษายน 2553 17:55 
1
ซึ่งใครๆ หลายคนก็รู้จักและใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft กันอยู่แพร่หลาย จึงจะเคยอ่านของประวัติและความเป็นมา และการพัฒนาของแต่ละเวอร์ชั่น ซึ่งแน่นอนครับ Mac OS X ก็เป็นอีกระบบปฏิบัติการหนึ่งที่เริ่มมีความนิยมและเป็นที่แพร่หลายกันมากขึ้น ซึ่ง Mac OS X นี้ได้มีพัฒนามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต่างจาก Windows เช่นกัน แต่ความสามารถของ Mac OS X นั้นไม่ได้มีดีแค่ความสวยงาม เท่านั้น แต่ยังมีความเสถียรที่สูงกว่า Windows อีกก็เป็นได้
จากที่กล่าวมานั้นเพื่อนๆ หลายคนก็เริ่มจะพอรู้เรื่องเกี่ยวกับ Mac OS X กันมาบ้างแล้ว ก็ด้วยเพราะว่าทาง Apple ซึ่งเป็นชื่อที่แพร่หลายในยุโรปและบ้านเรา ได้เปิดตัวสินค้าตัวใหม่ที่มีชื่อว่า "iPad" ที่กำลังกระหึ่มและเป็นที่ต้องตาต้องใจของชาว IT ในบ้านเราเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นข่าวของ Apple ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี
แต่ในที่นี้เราจะทิ้งเรื่องนั้นไว้ก่อน ซึ่งครั้งนี้เราจะมาพูดถึงประวัติในแต่ละการพัฒนาของเวอร์ชั่น ของระบบปฏิบัติการที่ชื่อว่า Mac OS X กันครับ
ก่อนที่เราจะไปเริ่มติดตั้งระบบปฏิบัติการของ Mac นั้น เราก็ควรจะรู้ก่อนว่ามันมีเวอร์ชั่นอะไรบ้าง แล้วเราควรที่จะเลือกใช้ตัวใด ก็เหมือนๆ กับระบบปฏิบัติการของ Windows นั้นแหละครับ ที่มีระบบปฏิบัติการ Windows Nt, 98, Me, Xp, Vista จนมาถึงล่าสุดนี้คือ Seven แต่มาวันนี้เราจะไม่พูดถึง Windows แต่เราจะมาพูดถึงMac ถ้าพร้อมกันแล้วแล้วเรามาดูกันเลยดีกว่า  
Mac OS X อ่านว่า แมคโอเอส เทน (ตัว แทนหมายเลข 10 ของตัวเลขโรมัน) เป็นระบบปฏิบัติการ ของเครื่อง Macintosh ที่ออกแบบมาให้มีเสถียรภาพสูง ใช้งานง่ายหากสังเกตุก็จะพบว่าหน้าจองของ Mac OS X นั้นเกลี้ยงเกลา ไม่มีอะไรให้รกหูรกตา มีปุ่มหรือเครื่องมือเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น หน้าจอถึงดูสะอาด เรียบหรู และดูดีครับ 

macosx10 
Mac OS X ได้ถูกพัฒนามาหลายเวอร์ชัน โดยเดือนมีนาคมปี 2001 บริษัท Apple ก็ได้เปิดตัว Mac OS Xเวอร์ชันแรกออกมา คือ Mac Os X 10.0 โดยมีอีกชื่อหนึ่งว่า Cheetah (ชีต้าร์) 
หลังจากที่ Mac OS X 10.0 หรือ Cheetah เวอร์ชันแรกที่เปิดตัวไปไม่นาน ทาง Apple ก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาต่อ โดยเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ได้ออกเวอร์ชันใหม่ คือ Mac OS X 10.1 หรืออีกชื่อว่า Puma (พรูม่า) ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ประสบความสำเร็จและผลตอบรับเป็นอย่างดี

  Mac_OS_X_10.2_Jaguar_screenshot
ในอีกหนึ่งปีต่อมา ได้เปิดตัว Mac OS X 10.2 หรือ Jaguar (จากัวร์) ก็ได้กำเนิดขึ้นในเดือน สิงหาคม ปี 2002 โดยเวอร์ชันนี้ได้มีการปรับปรุงคุณสมบัติหลายประการ เช่น สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายของ Microsoftได้ นำเสนอโปรแกรม iChat สำหรับการสื่อสารแบบออนไลน์ ใช้เทคโนโลยี Quartz Extreme สำหรับการแสดงผลบนหน้าจอ ฯลฯ โดยเวอร์ชั่นนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Mac OS X เป็นอย่างมากเลยล่ะครับ

  macosx103_1_panther
ในเดือนตุลาคม ปี 2003 ทาง Apple ได้เปิดตัว Mac OS X 10.3 หรือ Panther (พาลเทียร์) ซึ่งได้ปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพหลายอย่าง เช่นการนำเสนอ Expose การปรับปรุง iChat การสื่อสารแบบเห็นหน้าตากันได้ รวมถึงโปรแกรมท่องเว็บอย่าง Safari ฯลฯ

  macosx4tiger1
และในเดือนเมษายน ปี 2005 เจ้า Mac OS X 10.4 หรือ Tiger (ไทเกอร์) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีความสามารถที่เพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว ระบบอัติโนมัติอย่าง Automator ปรับปรุงiChat  รวมถึงการเปิดตัว VoiceOver ที่สามารถออกเสียงขณะใช้งานได้

mac_os_x_leopard_stacks 
ปี 2007 ได้พบกับระบบปฏิบัติการบน Macintosh ตัวใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า Mac OS X Leopard (ลีโอแพท) โดยการพัฒนาหลายด้าน เช่น การย้อนเวลากลับไปกู้ข้อมูลด้วย Time Machine มีการจัดสรรหน้าจอโดยใช้ Spaces รวมถึงการปรับปรุง iChat ให้สามารถแชร์หน้าจอผ่านอินเทอร์เน็ต ฯลฯ คาดหมายกันว่าLeopard จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดของ Windows Vista เลยทีเดียว แต่ผลตอบรับของ Windows Vista ก็มีเสียงตอบกลับมาค่อนข้างแย่ ซึ่งทำให้ Leopard สามารถกินขาดได้อย่างสบายๆ
ในปี 2009 เดือนกันยายน Mac OS X ก็ได้เปิดตัว ใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นตัวที่ 6 ก็คือ Mac OS X 10.6หรืออีกชื่อว่า Snow Leopard ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับ Leopard แต่มีการพัฒนาการทำงานหลายอย่าง และคอมพิวเตอร์ เครื่อง Macintosh ก็ได้ใช้ Snow Leopard มาจนถึงทุกวันนี้
4. เหตุทำไมถึงมีเม้าส์
ตอบ
          Mouse เป็น อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลอย่างหนึ่งแต่ที่เห็นการทำงาน โดยทั่วไปจะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมลูกศรให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนจอภาพ เหมาะสำหรับใช้งานเมื่อต้องเลือก หรือเลื่อนวัตถุต่างๆ บนจอ Mouse ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ 2 แบบ ได้แก่ 9 Pin, Serial Port และ PS/2 (Personal System Version2)

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

+55+

ดีใจจังพรุ้งนี้สอบแล้ว+55+

วันที่เป็นวันที่มีความสุขมาก

คือ  วันนี้สอบวิชาสังคมได้45คะแนน

รู้ความลับของพี่สาวตนเอง

มีแฟนแล้วก็ไม่บอกน้องนะ+55+อยาวนี้ต้องแกล้ง....ซักหน่อยแล้ว+555+

เที่ยว

เวลาไปเที่ยวในที่อากาศหหนาวเย็น วิวสวยทำให้ไม่อยากกลับบ้านเลยอะ   พูดแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่าๆทำให้อยากกลับไปเที่ยวอีก      พูดแล้วก็อิจจาคนแถวนะเพราะตื่นนอนมาในยามเช้าก็พบกันบรรยากาศที่เย็นสบายพร้อมกับแสงแดดยามรุ่งเช้า

การบ้านยาก

ช้วยด้วยการบ้านอยากแท้นะคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกใครก็ได้ช่วยหนูที

ไปเที่ยว

ทะเลสนุกมากเลย+555+